หลังจากร่างกฎหมายอีเพย์เมนต์ หรือ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร ผ่านความเห็นผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ทำให้ผู้ค้าออนไลน์เกรงว่ากรมสรรพากรจะเข้ามาตรวจสอบรายได้และการเสียภาษี
ทางด้านนายปิ่นสาย สุรัสวดี โฆษกกรมสรรพากร ได้มีการชี้แจงว่ากฎหมายดังกล่าวจะเริ่มใช้วันที่ 1 มกราคม 2563 เนื่องจากต้องรอการเชื่อมระบบระหว่างกรมสรรพากรกับสถาบันการเงินก่อน และจะมีผลต่อการยื่นภาษีในปี 2564 พร้อมยืนยันว่าไม่ได้มีเจตนาเก็บภาษีจากผู้ค้าออนไลน์เป็นการเฉพาะ แต่เป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้เสียภาษี เพราะตามที่กฎหมายกำหนด สถาบันการเงินต้องรายงานธุรกรรมของบุคคลที่มีการรับฝากเงินเข้าบัญชีปีละ 400 ครั้ง และมีมูลค่าเกิน 2 ล้านบาท หรือรับเงินเข้าบัญชีปีละ 3,000 ครั้งโดยรวมทุกบัญชีต่อ 1 ธนาคารถ้าจะเข้าข่ายต้องรายงานบุคคลนั้นต้องรับโอนเงินวันละเกือบ 10 ครั้งหรือรับโอนเงินครั้งละ 5,000 บาท 400 ครั้งต่อปีจึงจะมีมูลค่า 2 ล้านบาท ถ้าทั้งปีรับโอน 10 ล้านบาท แต่จำนวนครั้งมีแค่ 117 ครั้ง ไม่ถือว่าเข้าข่ายที่สถาบันการเงินต้องส่งข้อมูล ส่วนของเงินที่นำไปฝากเองและเงินฝากบัญชีร่วมอยู่ระหว่างหารือกับธนาคารว่าจะยกเว้นไม่ต้องรายงานอย่างไร
ส่วนการเสียภาษีจะมี 2 แบบ คือแบบเหมาจ่าย 5% ของรายได้ หรือเสียภาษีตามขันบันไดตั้งแต่ 5-35% ซึ่งกรมฯจะคำนวณดูว่าภาษีแบบไหนสูงกว่าก็จะเก็บแบบนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ทำอาชีพอิสระหรือค้าออนไลน์จะถูกประเมินแบบเหมาจ่าย เช่น มีรายได้ 1 ล้านบาทก็จะเสียภาษีประมาณ 5,000 บาท ถ้ามีรายได้ 2 ล้านบาทเข้าข่ายต้องรายงานธุรกรรมก็จะเสียภาษีประมาณ 10,000 บาท โดยการตรวจสอบกรมฯจะนำข้อมูลจากสถาบันการเงินมาจัดชั้นความเสี่ยงเพื่อแนะนำให้ยื่นแบบเสียภาษีไปจนถึงออกหนังสือเชิญมาพูดคุยเพื่อให้เสียภาษีถูกต้องต่อไป
ที่มา : TNN
Facebook Comments